ปัญหาคนไร้สัญชาติ ในประเทศไทย
ประเด็นเรื่อง “ความไร้สัญชาติ” (Nationalityless) หากให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ สภาพที่บุคคลไม่มีสัญชาติของรัฐ หรือประเทศใดๆ เลยในโลกสังกัด (อ้างจาก www.archanwell.org) หรือ เป็นคนต่างด้าวของทุกประเทศในโลกใบนี้นั้นเอง พูดให้ง่ายๆ อีกทีก็คือ“ไม่มีรัฐสังกัด หรือเป็นคนไร้รัฐ (Stateless)” ซึ่งสำหรับมนุษย์บางกลุ่มพวก ที่มีประวัติศาสตร์การต่อสู้กับรัฐ มีประวัติศาสตร์อันแสนเจ็บปวดจากการถูกรัฐควบคุม บงการ
มองด้านหนึ่ง ก็น่าจะปลาบปลื้มพอใจ ในสถานะของตน แต่กับกลุ่มสังคมที่ยังอ่อนแอ ยังขาดแคลนทรัพยากร ในการนำมาบริหาร จัดการหรือปกป้อง ดูแล เสริมสร้างกิจกรรมสาธารณะ เพื่อความมั่นคง สงบสุข ในขณะที่รัฐ องค์กรตัวแทนของสังคม ที่มีความชอบธรรม มีอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมาย นั้นสามารถเข้ามาทำหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขได้ดี
ปัญหาคือ รัฐไม่ใช่องค์กรที่ตกลงมาจากฟ้า และเป็นที่ชอบธรรม เป็นเอกฉันท์ ต่อประชาชน และฐานะของความเป็นรัฐไม่ได้กำเนิดขึ้นมาโดยสัญญาประชาคม ตามแนวคิดตะวันตกแต่กำเนิดขึ้นโดยกลุ่มอำนาจ กลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง อาจจะอ้างสิทธิการสืบทอดอำนาจตามจารีตประเพณี อาจจะเอาปืนใหญ่ เอากองทัพมาชี้ หรือเอาผู้คนหมู่มากมาอ้างเอาเป็นของในกลุ่มพวกตนเอง หรืออาจจะสมมติตนเองดื้อๆ ก็แล้วแต่จะสถาปนาขึ้น หรือ ฯลฯ แล้วก็อุปโลกเอาดินแดน ขีดเส้น แบ่งกันบนแผนที่ หรือ กำหนดเอาตามตำนาน เป็นต้น นี่คือกำเนิดของปัญหา
อีกหนึ่งปัญหา คือไม่ใช่แค่เพียง มาจากการกำเนิดของรัฐชาติ แต่ปัญหามาจากโครงสร้างทางกฎหมาย การบริหาร การดำเนินนโยบายและการใช้กลไกปกครองที่ไม่มีประสิทธิภาพ มาจากการพัฒนาที่เลือกปฏิบัติ มาแต่ต้น นอกจากนั้น ปัญหาเกี่ยวโยงทางประวัติศาสตร์ การศึกษา มาสู่วัฒนธรรม ที่มีคติ กดขี่ และผลักไสคนอื่น กลุ่มอื่น ให้หลุดพ้นไปจากสิทธิควรได้รับอีกด้วย
นักวิชาการด้านกฎหมายสัญชาติ จำแนกสาเหตุความไร้สัญชาติในประเทศไทยไว้ 2 ลักษณะคือ 1) ความไร้สัญชาติเพียงด้านข้อเท็จจริง (De facto Stateless) และ 2) ความไร้สัญชาติทั้งด้านข้อกฎหมาย (De Jure Stateless) และ ความไร้สัญชาติโดยข้อเท็จจริง (อ้างจาก www.archanwell.com)
ความไร้สัญชาติด้านข้อกฎหมายนั้น พอเข้าใจ หมายถึงความจำกัด ว่า “ไม่มีกฎหมายใดเลย กำหนดกระบวนการ หรือวิธีให้สัญชาติแก่บุคคล” แต่ ความไร้สัญชาติด้านข้อเท็จจริง ซึ่งมีสาเหตุ 2 รูปแบบ ที่เป็นข้อบกพร่องทั้งผู้ปกครอง คือ พ่อแม่และในระบบราชการไทยมากที่สุด และผลักให้เด็กไทยที่มีสิทธิอยู่แล้วตามกฎหมาย กลายเป็นคนชายขอบ โดยเฉพาะเด็กๆ ที่เกิดและเติบโตในประเทศไทย ซึ่งหากสรุปว่ากลไกราชการนี้เองที่มีส่วนร่วมในการละเมิดสิทธิประชาชน และสิทธิมนุษยชน ก็ไม่น่าเกลียด
สาเหตุในที่นี้ คือ 1) ไร้สัญชาติเกิดจากความไม่รู้ ไม่สามารถพิสูจน์ตนเองว่า ตนเองกำเนิดและเกี่ยวพันกับรัฐได้อย่างไร ซึ่งมีอยู่หลายครอบครัว และ 2) รู้และบุคคลนั้นเชื่อ พร้อมทั้ง อ้างได้ว่า มีข้อเท็จจริงและพิสูจน์ตนเองได้ แต่เจ้าหน้าที่รัฐไม่เชื่อ (โดยเฉพาะฝ่ายปกครองและฝ่ายความมั่นคง) เช่นล่าสุด กรณีชาวบ้านแม่อาย ที่ถูกนายอำเภอถอนสัญชาติ นับว่ารุนแรงที่สุด ละเมิดสิทธิประชาชนมากที่สุด ซึ่งกระทำการในนามของรัฐ
เกี่ยวกับผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของเด็กไร้สัญชาติ
นายสันติพงษ์ มูลฟอง ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาเครือข่ายเด็กและชุมชน ย้ำว่า
“เด็กไร้สัญชาติส่วนใหญ่จะประสบปัญหาทางด้านการศึกษา ปัญหาการถูกล่วงละเมิดทางเพศ การด้อยโอกาสทางสังคมมากที่สุด” ซึ่งหากต้องเสนอแนวทางแก้ไข ก็เสนอว่า
“ประเด็นที่ซึ่งต้องติดตามดำเนินการ คือ 1) การให้ได้ความคุ้มครองกับเด็กไม่มีสัญชาติ ทุกๆ คนตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก 2) การสร้างให้เด็กมีสถานะที่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อไปสู่สิทธิในระดับต่างๆ ที่พึงจะได้รับ และ 3) เด็กทุกๆ คนจะมีสถานะที่ชัดเจน ซึ่งจะเป็นสัญชาติไหนก็ให้ชัดเจน เพื่อประโยชน์ในสิทธิของเด็ก” (อ้างจาก www.thaingo.org)
นางสาว มึดา นาวานารถ ประธานเครือข่ายเยาวชนชาวเขาสัมพันธ์ หนึ่งในเด็กไร้สัญชาติชาวกะเหรี่ยง อ.สบเมย แม่ฮ่องสอน ที่แม่และตัวเขาเองเกิด และเติบโตในเมืองไทยและกำลังจะเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยปีหน้า เล่าถึงนโยบายของรัฐและปัญหาสถานภาพของตนเองว่า “แม้ทุกวันนี้การวางนโยบายเกี่ยวกับเรื่องนี้จะมีอยู่ แต่ว่าในทางปฏิบัติแล้วเกิดขึ้นน้อยมาก จนแทบไม่มีเลยก็ว่าได้ จะไปติดต่อ หน่วยงานราชการก็ไม่ได้รับความร่วมมือ ทางอำเภอไปสำรวจหมู่บ้านท่าเรือ ตั้งแต่ปี 2542
ซึ่งจริงๆ แล้ว หลังจากสำรวจเสร็จ ทางชุมชนต้องได้บัตรสีเขียวขอบแดง แต่จนถึงต้นปี2548 ก็ยังไม่ได้ พอหนูไปติดตาม ทางอำเภอก็บอกไม่รู้เรื่อง และพอได้บัตรสีเขียวขอบแดงมา ทางอำเภอกลับระบุว่า “เราเป็นเผ่าพม่า” อยากบอกว่า การไร้สัญชาติจะทำให้เราขาดไร้ซึ่งสิทธิขั้นพื้นฐาน และการมีส่วนร่วมกับรัฐ การรักษาพยาบาล และชีวิตถูกผลักให้เป็นคนชั้นสอง” (อ้างจาก www.thaingo.org) บทสรุปปัจจุบันนี้ บทบาทของรัฐและกฎหมายการให้สัญชาติ กลายเป็นกระบวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนพอๆ กับคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เพราะประชาชน คนไทยที่ซึ่งยังไม่ถูกรับรองสิทธิความเป็นพลเมืองนั้น ง่ายมากต่อการถูกกระทำ หรือละเว้นไม่กระทำการ อย่างใดหนึ่ง เพื่อให้เกิดการคุ้มครอง เนื่องจากโดยสถานภาพแล้วไม่สามารถอ้างสิทธิใดๆ ได้เลย ยิ่งกว่านั้นไม่ได้รับแม้กระทั่ง ทรัพยากรเพื่อการพัฒนาตนเองพื้นฐาน อาทิ การศึกษา สาธารณสุข เป็นต้น
เมื่อย้อนมองลงไปถึงประวัติศาสตร์ความเกี่ยวพันกันทางชาติพันธุ์ในแถบถิ่นนี้นั้น มีร่องรอยมากมายที่ยืนยันได้ถึงสิทธิ พร้อมทั้งภาพของการกดขี่ กดทับและครอบงำจากลุ่มชนที่มีอำนาจ ไม่ใช่เพียงแค่รัฐไทยและกฎหมายไทยที่กระทำการละเมิด แต่หมายรวมถึง สังคม กลุ่มวัฒนธรรมบางกลุ่ม ที่ต้องการ หรือคอยกดทับให้ตนเองเหนือกว่าอีกด้วย ซึ่งสามารถพบเห็นได้ยินได้ทั่วไป กับชาวเขา กับคนลาว คนพม่า หรือเขมร
ในสถานการณ์ที่ต้องพัฒนาศักยภาพบุคคล เพื่อต่อสู้แข่งขันกันได้ในกระแสโลก รัฐควรให้สัญชาติกับคนกลุ่มชนชาติพันธุ์ โดยเฉพาะคนที่มีสิทธิได้รับอยู่แล้วเป็นอันดับต้นๆ คือ คนที่เกิดและอาศัยทำมาหากินบนผืนแผ่นดินไทยมานมนาน มีรากฐานเหง้าทางวัฒนธรรมเกี่ยวโยง ผูกร้อยอยู่ในท้องถิ่น เชื่อมถึงสัมพันธ์ร่วมอยู่กับทรัพยากรและกับคนกลุ่มอื่นๆ และมีวิถีชีวิตอยู่ร่วมกลมกลืนกับวัฒนธรรมอื่นๆในสังคมไทยมานาน เช่น ชาวเขาทางภาคเหนือ ตั้งแต่ระนอง ประจวบฯ กาญจนบุรี ตาก แม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ น่าน เป็นต้น
คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นคนไทย แต่ถูกละเลยการให้สัญชาติ ไม่ใช่คนไร้สัญชาติคือไร้รัฐสังกัด และอันดับต่อมา คือคนที่อพยพ หนีภัย หรือมาตั้งรกรากนานเป็นชั่วอายุคน คนเหล่านี้ก็สำคัญ ที่ต้องพิจารณาให้สิทธิ ให้สถานะ ให้สัญชาติ และรวมทั้งคนที่อพยพหนีภัย กลับคืนถิ่นไม่ได้และสมัครใจตั้งรกรากอยู่ถาวรก็ต้องเร่งพิจารณาให้สถานะเช่นกัน
ดังนั้น แนวทางแก้ไข และการลดอุปสรรค ตั้งแต่ระดับนโยบาย ให้ชัดเจน ทั้งฝ่ายบริหารและผู้รับผิดชอบโดยตรง ต้องติดตามปัญหา ความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง แปลงนโยบายมาสู่กลไกการปฏิบัติการ ปรับกฎหมายที่กำหนดกระบวนการดำเนินการให้สัญชาติ ให้สะดวกและชัดเจนยิ่งขึ้น จำแนกกลุ่มคนที่ได้รับฐานะสิทธิออกให้ชัดเจน มีคณะกรรมาธิการร่วมหลายฝ่าย ดูแล ประสานอย่างอิสระ เพื่อให้เกิดความคล่องตัว โดยอาจจะรายงานตรงถึงนายกรัฐมนตรีก็ได้
โดยเฉพาะงานพิสูจน์ลักษณะ สายเลือดเพื่อให้สัญชาติ ซึ่งดำเนินการล่าช้า อาจจะมีการปรับรื้อระบบการทำงานใหม่ให้คล่องตัวมากขึ้น นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้มากขึ้น
ในระดับสังคม ศักดิ์ศรีของมนุษย์และความเท่าเทียมกันก็สำคัญ ซึ่งเป็นปัญหาที่ซับซ้อน สะสมมานานจนลงลึกเป็นรากฐานปัญหา ที่ยากจะแก้ไขได้ ในเวลาสั้นๆ คือปัญหาการกดทับทางวัฒนธรรมและการเหยียดหยามทางชาติพันธุ์ อันเนื่องมาจากการนำเสนอภาพลักษณ์ ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ มาจนถึงตำรับตำราเรียน และสื่อสารมวลชนจำพวกภาพยนตร์และรายการทีวี
ดังนั้นกระบวนการผลิตสื่อ ผลิตงานวิชาการ ผลิตหลักสูตรการศึกษา สร้างสรรค์ความเข้าใจที่ดีต่อกัน ทั้งในระดับสังคม ทั้งระดับกลุ่ม ระดับชาติพันธุ์ ตลอดจนปัจเจกชนก็สำคัญเช่นกัน
เนื่องจากโลกของเราในปัจจุบัน เป็นโลกที่มนุษย์ด้วยกันพยายามเคลื่อนตัวไปสู่ ฐานะความเป็นมนุษย์ที่มีสิทธิเท่าเทียมกัน ทั้งโอกาส การพัฒนาศักยภาพ และการกำหนดวิถีชีวิตตนเอง ดังนั้น กำแพงกั้น กฎหมายที่กีดกัน กดทับ วัฒนธรรมอำนาจที่มีอคติต่อชนกลุ่มน้อย กลุ่มอื่นหรือคนกลุ่มชายขอบ กำลังเป็นวิธีคิด วิธีปฏิบัติต่อกันที่หล้าลัง และเป็นชนวนเหตุไปสู่ความรุนแรง
นอกจากนั้น ด้านหนึ่งของโลกกำลังแข่งขันกันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ และความมั่นคงของสังคม ซึ่งก็ส่งผลถึงความมั่นคงของรัฐ ด้วยเหตุนี้ การละเลยคนนับแสนนับล้านให้ไร้สัญชาติ ละเลยการให้ฐานะบุคคลให้ถูกต้องตามกฎหมาย ในระยะยาวรัฐเอง ที่ต้องสูญเสียทั้งโอกาส แรงงานภาคการผลิต และรายได้ภาษี นอกจากนั้นรวมถึงโอกาสการพัฒนาศักยภาพการผลิต และอาจจะส่งผลย้อนกลับมาสู่ปัญหาสังคม อาทิ การบุกรุกทำลายป่าไม้ อาชญากรรม ยาเสพติดและปัญหาสังคมอื่นๆ ด้วย